รู้จัก ‘มูกปากมดลูก’ สัญญาณบ่งบอกการเจริญพันธุ์ของคุณ
โดย Chloe Skerlak บุคลากรด้านสุขภาพระบบสืบพันธุ์ผู้เชี่ยวชาญ Justisse Method และผู้เชี่ยวชาญด้าน Fertility Awareness
กาวน้ำ
น้ำมันมะพร้าว
กาวแท่ง
เจลจากแฟล็กซีด
เจลหล่อลื่น
โลชั่น
เหล่านี้คือตัวอย่างของสิ่งที่ฉันใช้อธิบายลักษณะของมูกปากมดลูกหรือ cervical mucus เมื่อสอนเรื่องภาวะเจริญพันธุ์ค่ะ
มูกปากมดลูกคือน้ำทิพย์แห่งภาวะเจริญพันธุ์จริงๆ! เราจะพบมูกที่ร่างกายหลั่งออกมาอยู่บริเวณฝีเย็บหรือกระดาษชำระ (ถ้ามูกไม่ได้หลุดไปก่อนตอนเราฉี่หรืออึ๊นะ)
คุณเคยเห็นมูกปากมดลูกมาก่อนไหมคะ บางคนบอกฉันว่าเคยเห็นแต่ไม่ได้สนใจอะไร และบางคนก็ยอมรับว่าสับสนระหว่างมูกปากมดลูกกับอาการติดเชื้อราในช่องคลอด (yeast infection) หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) แต่จริงๆ แล้ว มูกปากมดลูกเป็นสิ่งปกติ ช่วยบ่งบอกว่าเราสุขภาพดี และเป็นส่วนสำคัญของรอบเดือนเราเลย
‘มูกปากมดลูก’ คืออะไรกันแน่?
มูกปากมดลูกคือไฮโดรเจลที่ประกอบด้วยโมเลกุลของเยื่อเมือก น้ำ เอนไซม์ โครงสร้างโปรตีน และองค์ประกอบทางชีวเคมีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโซเดียม คลอไรด์ และโพแทสเซียม¹ มูกปากมดลูกมีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า cervical mucus หรือ cervical fluid เนื่องจากเป็นมูกที่ออกมาจากปากมดลูก (cervix)
ปากมดลูกเป็นทางเข้าออกที่เชื่อมระหว่างช่องคลอดและมดลูก ทำหน้าที่เป็นลิ้นเปิดปิด โดยจะเปิดหรือปิดก็ขึ้นอยู่กับรอบเดือนของคุณ² ลองสอดนิ้วที่ยาวที่สุดเข้าไปในช่องคลอดระหว่างที่นั่งท่ายอง แล้วคุณก็จะพบกับปากมดลูกของคุณ
มูกปากมดลูกอาจมีลักษณะเป็นยางยืดคล้ายไข่ขาวดิบ หรือเหนียวคล้ายกาวแท่ง มีทั้งแบบใส ขุ่น ขาวขุ่น สีแดง สีชมพู หรือสีเหลืองอ่อน บางครั้งมูกมีน้ำเป็นส่วนผสมปริมาณมาก จึงไม่สามารถจับขึ้นมาได้ (ปริมาณน้ำในมูกอาจสูงถึง 99 เปอร์เซ็นต์!³) แต่คุณจะรู้ได้ทันทีว่าคือมูก เมื่อเช็ดแล้วรู้สึกถึงของเหลวลื่นๆ ที่ลื่นจนบางครั้งทำเอาข้อศอกคุณกระแทกกับฝาชักโครกหลังเช็ดทำความสะอาด ซึ่งเป็นอะไรที่ปกติสุดๆ
หากคุณไม่ค่อยเห็นมูกปากมดลูกก็ไม่ต้องกังวล นี่ก็เป็นเรื่องปกติเหมือนกัน
รอบเดือนที่แสดงถึงสุขภาพที่ดี มักจะมีรูปแบบดังต่อไปนี้ค่ะ
- วันแรกของรอบเดือนจะเริ่มด้วยการมีประจำเดือน
- หลังประจำเดือนหมด อาจมีวันที่ช่องคลอดแห้งและไม่มีมูกปากมดลูกออกมาที่บริเวณปากช่องคลอดมากนัก (ยกเว้นในกรณีที่รอบเดือนสั้น)
- จากนั้นร่างกายจะเริ่มเปลี่ยนแปลง และมีมูกปากมดลูกออกมา สำหรับรอบเดือนในช่วงที่สุขภาพดี คุณจะเห็นมูกปากมดลูกประมาณ 5 วันก่อนไข่ตก⁴
- เมื่อไข่ตกแล้ว ช่องคลอดจะกลับมาแห้งจนถึงวันที่ประจำเดือนมาครั้งถัดไป แล้ววงจรนี้ก็จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
- นอกจากนี้ ยังมีรอบเดือนในรูปแบบอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีความเครียด หรือรอบเดือนมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะจากการหยุดยาคุมกำเนิด ภาวะหลังคลอดบุตร หรือระยะเริ่มต้นของวัยหมดประจำเดือน (perimenopause)
มูกปากมดลูกสำคัญอย่างไร?
คุณทราบไหมว่า การตกไข่จะเกิดขึ้นในวันเดียว และเมื่อไข่ถูกปล่อยออกมาจากท่อรังไข่ จะมีเวลาในการผสมพันธุ์เพียง 12–24 ชั่วโมง⁵ ฉะนั้นการที่ผู้หญิงจะตั้งครรภ์ได้จึงเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากๆ!
แต่สาเหตุที่เรามีช่วงเจริญพันธุ์ยาวนานกว่า 24 ชั่วโมง เพราะร่างกายหลั่งมูกปากมดลูกออกมาก่อนไข่ตก ทำให้ช่วงเจริญพันธุ์หรือช่วงไข่ตกของเราในแต่ละรอบเดือนขยายออกไปอีกประมาณ 6 วัน⁶ เนื่องจากสภาพของมูกปากมดลูกเอื้อให้อสุจิมีชีวิตอยู่ได้นานถึง 5 วัน⁷ หากไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ในช่วงเจริญพันธุ์ ผู้หญิงจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้
ฉันจะอธิบายกระบวนการนี้ให้ฟังนะคะ
ปากมดลูกเปรียบเสมือนโรงแรมที่รองรับอสุจิ และช่วงเวลาเปิดปิดของโรงแรมก็ขึ้นอยู่กับฮอร์โมนในรังไข่ และการผลิตมูกปากมดลูกของคุณ
เมื่อรังไข่ผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน และร่างกายเตรียมพร้อมสำหรับการตกไข่ ปากมดลูกจะตอบสนองโดยการผลิตมูกปากมดลูกเอสโตรเจนิค (หรือ E-Type)⁸ ซึ่งเป็นมูกที่สามารถพบเห็นได้บริเวณปากช่องคลอดและบนกระดาษชำระ ทำให้คุณทราบว่ากำลังเข้าสู่ช่วงเจริญพันธุ์ จากนั้นโรงแรมอสุจิจะเปิด ลองจินตนาการว่า มูกปากมดลูกเป็นดั่งพรมแดงที่ปูไว้ตลอดช่องคลอดเพื่อต้อนรับอสุจิ มีฤทธิ์ด่างที่เป็นมิตรกับอสุจิ ทั้งนี้ ค่า pH ของน้ำอสุจิจะอยู่ระหว่าง 7.2 ถึง 8.4 ซึ่งเทียบเท่ากับค่าเฉลี่ย pH 7 ของมูกปากมดลูก⁹ นอกจากนี้ มูกยังรวมกันเป็นช่องทางให้อสุจิว่ายน้ำผ่านช่องคลอดได้ง่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอสุจิทุกตัวจะผ่านเข้าไปผสมพันธุ์ได้ เพราะระบบรักษาความปลอดภัยของมูกจะคัดสรรผู้ที่จะได้ไปต่อ¹⁰
มูกปากมดลูกจะมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้อสุจิที่ผิดปกติหลุดรอดเข้าไป¹¹ ส่วนอสุจิที่โชคดีจะเตรียมผสมพันธุ์กับไข่ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า การเข้าปฏิสนธิ (capacitation) ที่จะเกิดขึ้นภายในมูกปากมดลูก¹² เมื่ออสุจิแหวกว่ายจนไปถึงปากมดลูก พวกมันก็จะเช็คอินเข้าพักในโรงแรมได้นานถึง 5 วันเพื่อรอให้ไข่ตก
หลังจากการตกไข่ รังไข่จะผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ซึ่งจะไปหยุดยั้งการผลิตมูกปากมดลูก¹³ โดยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะผลิตมูกปากมดลูกเจสตาเจนิค (หรือ G-Type) ซึ่งทำหน้าที่สร้างเมือกปิดช่องปากมดลูก และเป็นกำแพงกั้นระหว่างช่องคลอดและมดลูก¹⁴ จากนั้นค่า pH ของช่องคลอดจะเปลี่ยนเป็นกรดที่ไม่เป็นมิตรกับอสุจิ เท่ากับว่าโรงแรมอสุจิได้ปิดประตูงดรับแขก และอสุจิจะไม่สามารถทะลวงเมือกที่ปิดปากมดลูกเข้าไปได้ พวกมันจึงตายจากไปในล็อบบี้ของโรงแรมนั่นเอง
มูกเจสตาเจนิค G-Type หรือ โรงแรมอสุจิปิด |
มูกเอสโตรเจนิค E-Type หรือ โรงแรมอสุจิเปิด |
|
|
ท้าพิสูจน์: มูกปากมดลูกทุกชนิดอยู่ในภาวะเจริญพันธุ์
ความเข้าใจผิดของคนส่วนใหญ่คือ มูกปากมดลูกมีทั้งแบบที่อยู่และไม่อยู่ในภาวะเจริญพันธุ์ หรือมูกปากมดลูกบางชนิดเจริญพันธุ์มากกว่าชนิดอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นมูกปากมดลูกชนิดไหน มีปริมาณเท่าไหร่ ก็อยู่ในภาวะเจริญพันธุ์!
ว่ากันอย่างง่ายคือ เมื่อเราพบเห็นมูกปากมดลูก ก็เท่ากับว่าปากมดลูกได้เปิดแล้วและไข่กำลังจะตกแน่ๆ การบอกว่ามูกปากมดลูกชนิดไหนอยู่ในภาวะเจริญพันธุ์มากกว่า ก็เหมือนบอกว่าบางคนตั้งครรภ์ ‘มากกว่า’ ซึ่งจริงๆ แล้วมีแค่ตั้งครรภ์ ‘หรือไม่’ แต่เราอาจพูดได้ว่า เรากำลังเข้าใกล้วันที่กำหนด ซึ่งหากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้ก็จะมีโอกาสตั้งรรรภ์สูง
ยิ่งใกล้วันไข่ตกเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งมีโอกาสหลั่งมูกปากมดลูกที่อยู่ในภาวะเจริญพันธุ์สูงสุดมากขึ้นเท่านั้น บางคนไข่สุกทันทีที่มูกปากมดลูกอยู่ในภาวะเจริญพันธุ์สูงสุด (peak-type) แต่หลายคนอาจพบมูกปากมดลูกที่ยังไม่อยู่ในภาวะเจริญพันธุ์สูงสุดก่อน อสุจิสามารถมีชีวิตอยู่ในมูกที่ยังไม่อยู่ในภาวะเจริญพันธุ์สูงสุดได้หลายวันเพื่อรอไข่ตก¹⁵
มูกปากมดลูกที่อยู่ในภาวะเจริญพันธุ์สูงสุดจะมีสีใส ลักษณะเหมือนยางยืดหรือน้ำหล่อลื่น และมาพร้อมกับความรู้สึกลื่นๆ
มูกปากมดลูกที่ยังไม่ได้อยู่ในภาวะเจริญพันธุ์สูงสุดจะมีสีไม่ใส ไม่เหมือนยางยืดหรือน้ำหล่อลื่น แต่อาจเหนียวหนืด มีเนื้อข้น เป็นสีขาวขุ่น หรือสีเหลือง
ตอนนี้คุณอาจกำลังสงสัยว่า ทำไมต้องแยกมูกที่อยู่ในภาวะเจริญพันธุ์สูงสุดกับมูกที่ยังไม่อยู่ในภาวะเจริญพันธุ์สูงสุดให้ออก
นั่นก็เพราะมันจะช่วยยืนยันว่าไข่ตก เพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ ทำให้การตั้งครรภ์เป็นไปตามที่วางแผน รวมทั้งยังช่วยเฝ้าสังเกตรอบเดือนและสุขภาพโดยรวมของคุณ
ทำไมต้องคอยตรวจดูมูกปากมดลูก?
การคอยเช็คมูกปากมดลูกจะช่วยให้คุณสามารถป้องกันหรือเดินหน้าตั้งครรภ์ได้โดยไม่ต้องไปพบแพทย์ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับการสืบพันธุ์และสุขภาพโดยรวมของคุณ
จากข้อมูลของงานวิจัยหนึ่ง พบว่าในบรรดาผู้ที่ต้องการรักษาภาวะเจริญพันธุ์ทั้งหมด มีเพียง 12.7% เท่านั้นที่สามารถระบุช่วงไข่สุกได้อย่างแม่นยำ¹⁶ มูกปากมดลูกคือสัญญาณที่สำคัญที่สุดของภาวะเจริญพันธุ์ การคอยเช็คมูกปากมดลูกจะช่วยให้คุณทราบว่า คุณเข้าสู่ช่วงไข่สุกแล้วหรือยัง และเมื่อไหร่ที่ช่วงเจริญพันธุ์สิ้นสุดลง (ซึ่งไม่เหมือนกับสัญญาณของภาวะเจริญพันธุ์ที่สำคัญรองลงมา อย่างอุณหภูมิกายขณะพักหรือ basal body temperature ที่ช่วยยืนยันได้เฉพาะช่วงที่ภาวะเจริญพันธุ์สิ้นสุด) การทราบช่วงเจริญพันธุ์ของตนเองจะช่วยให้มีโอกาสปฏิสนธิสำเร็จมากขึ้น
ทั้งนี้ คุณยังสามารถใช้ข้อมูลนี้ในอีกทางได้ด้วย นั่นคือเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ หากคุณสามารถระบุช่วงไข่ตก (ovulation) ได้และหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนั้น ก็ถือว่าคุณได้คุมกำเนิดด้วยการนับระยะปลอดภัย (Fertility Awareness Method) เรียบร้อยแล้ว และหากทำอย่างถูกต้อง ก็จะมีประสิทธิภาพมากกว่า 99%¹⁷ ซึ่งเทียบเท่ายาคุมกำเนิด แต่ไม่มีผลข้างเคียง บางคนตั้งใจเรียนรู้ช่วงเจริญพันธุ์ของตัวเอง (fertility window) และเลือกใช้การคุมกำเนิดเมื่อมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาดังกล่าว เพราะทราบดีว่ามีโอกาสตั้งครรภ์ได้
หากข้อดีข้างต้นยังไม่พอ จำไว้ว่ารอบเดือนนั้นเป็นสัญญาณชีพลำดับที่ห้า ถ้าคุณเข้าใจภาวะปกติต่างๆ ของร่างกาย คุณก็จะสามารถดูแลระบบสืบพันธุ์และสุขภาพโดยรวมของคุณได้ดียิ่งขึ้น คุณสามารถสังเกตมูกปากมดลูกและลองทำตารางจดบันทึกรายเดือน เพื่อให้เห็นข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความสมดุลของฮอร์โมน ระดับความเครียด และโรคประจำตัวของคุณได้ด้วยนะ
เมื่อคุณเริ่มสนใจมูกปากมดลูกของตัวเอง ซึ่งฉันขอเรียกว่าเป็น ‘กิจวัตรมีสติสุดติ่งเฉพาะมนุษย์มีเมนส์เท่านั้นที่จะเข้าใจ’ บอกเลยว่าคุณจะได้รับประโยชน์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แล้ววันนี้คุณเช็คมูกปากมดลูกหรือยังคะ?